การเลือกระบบ Alarm Bell สำหรับโรงแรมเป็นเรื่องที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เนื่องจากโรงแรมมีลักษณะเฉพาะที่แตกต่างจากอาคารทั่วไป ทั้งในด้านการรักษาบรรยากาศที่เงียบสงบเพื่อความสบายของแขก การจัดการเหตุการณ์ฉุกเฉินโดยไม่สร้างความตื่นตระหนกโดยไม่จำเป็น และการปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยที่เข้มงวด
ระบบ Alarm Bell ที่ดีสำหรับโรงแรมควรมีความยืดหยุ่นในการปรับระดับการแจ้งเตือนตามสถานการณ์ สามารถแจ้งเตือนเจ้าหน้าที่อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ พร้อมทั้งรองรับการใช้งานตลอด 24 ชั่วโมงในสภาพแวดล้อมที่หลากหลาย
Check List นี้จัดทำขึ้นเพื่อเป็นแนวทางในการประเมินและเลือกระบบ Alarm Bell ที่เหมาะสมกับความต้องการเฉพาะของโรงแรม
1. รองรับความต้องการเฉพาะของโรงแรม
- ขนาดของพื้นที่โรงแรม: มีจำนวนชั้นหรือห้องพักมากน้อยเพียงใด
- โครงสร้างอาคาร: มีพื้นที่เฉพาะ เช่น ห้องประชุม ห้องอาหาร สปา ฯลฯ
- ความถี่ของผู้เข้าพัก: โรงแรมที่มีแขกเข้าพักจำนวนมากควรมีระบบที่เสถียรและตอบสนองเร็ว
2. รักษาความเงียบของแขก
- เลือก Alarm Bell ที่มีเสียงแจ้งเตือนเฉพาะเจ้าหน้าที่ (เงียบสำหรับแขก)
- ใช้ระบบแจ้งเตือนแบบ Visual Alarm (ไฟกะพริบ) ในบางโซน เช่น โถงทางเดิน
- เลือกแบบเสียงนุ่มนวลในโซนห้องพัก เพื่อไม่ให้ตกใจหากมีการทดสอบระบบ
3. แจ้งเตือนเจ้าหน้าที่อย่างมีประสิทธิภาพ
- ระบบต้องสามารถเชื่อมต่อกับห้องควบคุม หรือ Mobile App ของพนักงาน
- ควรมีระบบแยก Zone เพื่อระบุจุดที่เกิดเหตุได้อย่างแม่นยำ
- รองรับระบบแจ้งเตือนซ้ำ หากไม่มีการตอบสนองจากเจ้าหน้าที่ในเวลาที่กำหนด
4. ผ่านมาตรฐาน Fire Safety และ Guest Safety
- ตรวจสอบว่า Alarm Bell ได้รับการรับรองมาตรฐาน เช่น มอก. หรือ UL
- มีระบบตรวจจับควันและความร้อนร่วมด้วย
- ระบบสำรองไฟ กรณีไฟดับยังสามารถทำงานได้ต่อ
- รองรับการเชื่อมต่อกับระบบดับเพลิงอัตโนมัติ (เช่น Sprinkler)
ประเภท Alarm Bell ที่เหมาะกับโรงแรม
ธุรกิจโรงแรมมีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากอาคารสำนักงานหรือโรงงานอุตสาหกรรม เนื่องจากต้องคำนึงถึงความเป็นส่วนตัวของผู้เข้าพักระบบแจ้งเตือนในโรงแรมจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่นและสามารถปรับใช้ได้ตามสถานการณ์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นเหตุเพลิงไหม้ การรุกราน เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์ หรือสถานการณ์อื่นๆที่อาจเกิดขึ้นโดยแต่ละประเภทของระบบแจ้งเตือนจะมีจุดเด่นและการใช้งานที่เหมาะสมแตกต่างกันไปดังนี้
1. Visual Alarm (แจ้งเตือนด้วยแสง)
Visual Alarm คือระบบแจ้งเตือนที่ใช้ “แสงไฟกระพริบ” แทนการใช้เสียง เหมาะสำหรับพื้นที่ที่ต้องการลดเสียงรบกวน เช่น ห้องพักในโรงแรม หรือพื้นที่ที่มีผู้มีปัญหาทางการได้ยิน
ข้อดี: ไม่ส่งเสียงรบกวนผู้เข้าพักห้องข้างเคียง
2. Silent Alarm (แจ้งเตือนเงียบ)
ระบบแจ้งเตือนที่ไม่มีเสียงหรือแสงกระพริบออกมาให้แขกเห็น แต่จะส่งสัญญาณตรงไปยังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหรือพนักงานหน้าฟรอนต์ (Front Desk)
ข้อดี: ส่งสัญญาณเงียบไปยัง Front Desk และเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยโดยไม่รบกวนแขก
3. Voice Evacuation System (ระบบประกาศด้วยเสียง)
ระบบแจ้งเตือนเหตุฉุกเฉินผ่านเสียงพูดโดยใช้ลำโพงประกาศเพื่อแนะนำวิธีอพยพหรือแจ้งเตือนภัยอย่างชัดเจนและเป็นระบบ ซึ่งต่างจากเสียงไซเรนทั่วไปที่อาจสร้างความสับสนหรือตื่นตระหนก
ข้อดี: ประกาศแนะนำการอพยพอย่างสุภาพ ชัดเจน ลดความตื่นตระหนก
4. Tone-Coded Alarm (ระบบเสียงเตือนแบบรหัสเสียง)
ระบบเสียงแจ้งเตือนที่ใช้ เสียงที่แตกต่างกัน เพื่อแยกประเภทของเหตุฉุกเฉิน เช่น ไฟไหม้ เหตุด้านความปลอดภัย หรือกรณีฉุกเฉินทางการแพทย์ โดยแต่ละเสียงมีรูปแบบเฉพาะ ทำให้เจ้าหน้าที่และผู้เกี่ยวข้องสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็วและถูกต้อง
ข้อดี: แยกแยะประเภทเหตุฉุกเฉิน (เช่น ไฟไหม้, การบุกรุก, เหตุฉุกเฉินทางการแพทย์) ได้ชัดเจน
มาตรฐานและข้อกำหนดสำหรับระบบแจ้งเตือนในโรงแรม
โรงแรมในฐานะสถานประกอบการที่ให้บริการที่พักแก่คนจำนวนมาก จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานและข้อกำหนดที่หลากหลาย ทั้งในระดับสากลและภายในประเทศ ซึ่งแต่ละมาตรฐานล้วนมีเหตุผลและความจำเป็นที่ชัดเจน เพื่อลดความเสี่ยงและเพิ่มประสิทธิภาพในการรับมือกับสถานการณ์ฉุกเฉินการลงทุนในระบบแจ้งเตือนที่ได้มาตรฐานจึงไม่ใช่เพียงแค่ค่าใช้จ่าย แต่เป็นการลงทุนในอนาคตของธุรกิจ ความเชื่อมั่นของลูกค้า และที่สำคัญที่สุดคือความปลอดภัยของทุกคน
มาตรฐานสากล
1.NFPA 101 Life Safety Code เป็นมาตรฐานหลักที่ใช้กันอย่างแพร่หลาย กำหนดว่าอาคารโรงแรมสูงกว่า 3 ชั้นต้องมีระบบเตือนภัยอัตโนมัติ รวมถึงระบบสปริงเกลอร์และทางหนีไฟที่เหมาะสม
2.International Building Code (IBC) กำหนดข้อกำหนดเกี่ยวกับระบบแจ้งเตือนเพลิงไหม้ ระบบแจ้งเตือนก๊าซคาร์บอนมอนอกไซด์ และการติดตั้งเครื่องตรวจจับควันในห้องพัก
3.AHLA (American Hotel & Lodging Association) Guidelines เสนอแนะปฏิบัติที่ดีสำหรับความปลอดภัยของแขก รวมถึงการฝึกอบรมพนักงานและแผนการอพยพ
กฎหมายไทย
พระราชบัญญัติโรงแรม พ.ศ. 2558 กำหนดมาตรฐานความปลอดภัยขั้นพื้นฐาน รวมถึงการติดตั้งอุปกรณ์ดับเพลิงและทางหนีไฟ
มาตรฐาน Star Rating ของ ททท. กำหนดข้อกำหนดเพิ่มเติมสำหรับโรงแรมแต่ละระดับ โดยโรงแรม 4-5 ดาวต้องมีระบบความปลอดภัยที่ครอบคลุมมากขึ้น
ระบบเฉพาะโรงแรม
1.Guest Room Alert System ควรมีการแจ้งเตือนแบบไม่รบกวน เช่น แสงกระพริบหรือการสั่นสะเทือนเบาๆ เพื่อไม่ให้รบกวนแขกในห้องอื่น
2.Staff Communication System ต้องสามารถแจ้งเตือนทีมรักษาความปลอดภัย แผนกแม่บ้าน และฝ่ายจัดการได้พร้อมกัน
3.PMS Integration การเชื่อมต่อกับ Property Management System ช่วยให้ติดตามสถานะห้อง ข้อมูลแขก และสามารถปรับการแจ้งเตือนตามประเภทของแขก (VIP, ผู้พิการ, เด็ก)
การออกแบบระบบที่เหมาะสมแต่ละพื้นที่
ในยุคที่อุตสาหกรรมโรงแรมมีการแข่งขันสูงการออกแบบระบบแจ้งเตือนภัยฉุกเฉินจึงต้องมีความละเอียดอ่อนมากกว่าเดิม ไม่เพียงแต่ต้องปฏิบัติตามกฎหมายและมาตรฐานความปลอดภัยเท่านั้น แต่การออกแบบระบบที่เหมาะสมจะนิยมใช้แนวคิด Zone-based Intelligence ที่แบ่งพื้นที่ตามลักษณะการใช้งานและปรับระดับการแจ้งเตือนให้เหมาะสม ดังนี้
1.ห้องพัก – การแยกประเภทห้องตามความต้องการพิเศษเป็นแนวคิดที่ดี โดยเฉพาะ Accessible Room ที่มี Tactile Alert สำหรับผู้พิการทางการได้ยิน และ Zone-based Alert ใน Suite ที่ช่วยระบุตำแหน่งได้แม่นยำ
2.พื้นที่สาธารณะ – Voice Evacuation แบบสองภาษาตอบโจทย์โรงแรมในไทยที่มีแขกต่างชาติ การผสานกับ Background Music จะช่วยให้การแจ้งเตือนไม่ทำให้เกิดความตื่นตระหนก
3.พื้นที่บริการ – แนวคิด Silent Alert เป็นเลิศ เพราะรักษาบรรยากาศผ่อนคลายในสปาและไม่รบกวนการรับประทานอาหาร
การเลือก Alarm Bell สำหรับโรงแรม
ในธุรกิจโรงแรมระบบการแจ้งเตือนไม่ใช่แค่เรื่องของความปลอดภัย แต่ยังเป็นเรื่องของ ประสบการณ์ของแขกและประสิทธิภาพการทำงานของพนักงานด้วย การเลือกระบบที่ไม่เหมาะสมอาจส่งผลให้แขกรู้สึกรำคาญ พนักงานสื่อสารกันไม่ดีอาจก่อให้เกิดข้อผิดพลาดหรือแม้กระทั่งเกิดปัญหาด้านความปลอดภัย
หลักการสำคัญ 4 ประการ
1.Guest Experience Friendly ระบบต้องคำนึงถึงความสะดวกสบายของแขก เสียงต้องชัดเจนแต่ไม่รบกวน สามารถปรับระดับเสียงได้ตามช่วงเวลา และมีระบบ Visual Alert สำหรับผู้ที่มีปัญหาการได้ยิน
2.Staff Communication Efficient พนักงานต้องสามารถสื่อสารกันได้อย่างรวดเร็วและแม่นยำ ระบบต้องแสดงตำแหน่งที่เกิดเหตุได้ชัดเจน และสามารถแยกการแจ้งเตือนตามแผนกต่างๆ
3.มาตรฐาน Fire Safety ต้องเป็นไปตามกฎหมายและมาตรฐานสากล มีระบบสำรองไฟ และง่ายต่อการบำรุงรักษา
4.Multi-language Support ในยุคที่แขกต่างชาติมาเยือนมาก ระบบต้องรองรับหลายภาษาและใช้สัญลักษณ์ที่เข้าใจได้ทั่วไป
ROI และผลตอบแทนการลงทุน
ในยุคที่ความปลอดภัยกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการเลือกที่พัก ระบบรักษาความปลอดภัยที่ทันสมัยไม่ใช่เพียงแค่การป้องกันความเสี่ยง แต่เป็นการลงทุนเชิงกลยุทธ์ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจโรงแรม สำหรับกลุ่มโรงแรม 6 แห่งการติดตั้งระบบความปลอดภัยแบบครบวงจรจะช่วยยกระดับมาตรฐานการให้บริการ สร้างความมั่นใจให้แขกผู้เข้าพัก และสร้างผลตอบแทนการลงทุนที่ยั่งยืน
1.Guest Satisfaction – ความปลอดภัยสร้างความสบายใจ
การทำให้แขกรู้สึก ปลอดภัย คือปัจจัยพื้นฐานที่ทุกโรงแรมควรใส่ใจ ระบบกล้องวงจรปิด การ์ดคีย์ล็อก ระบบเตือนภัยล่วงหน้า หรือแม้แต่การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยที่ผ่านการอบรม ล้วนสร้างความมั่นใจให้กับผู้เข้าพัก
2.ลดค่าเบี้ยประกัน – ระบบดี ลดต้นทุนได้จริง
สิ่งที่น่าสนใจคือ โรงแรมที่มีระบบความปลอดภัยครบถ้วน
สามารถเจรจาเพื่อลด ค่าเบี้ยประกันภัย ได้
3.เสริม Brand Reputation – ความปลอดภัยคือมาตรฐานใหม่
โรงแรมที่มีระบบความปลอดภัยที่ได้มาตรฐาน เช่น ได้รับ ISO หรือผ่านการตรวจสอบด้านความปลอดภัยจากหน่วยงานสากล
ความปลอดภัยคือหัวใจสำคัญของการบริการโรงแรมที่มีคุณภาพ
เหตุการณ์ฉุกเฉินสามารถเกิดขึ้นได้ทุกเมื่อ ไม่ว่าจะเป็นไฟไหม้ แผ่นดินไหว หรือเหตุการณ์ไม่คาดฝัน การมีระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพจึงไม่ใช่แค่ข้อกำหนดทางกฎหมาย แต่เป็นการลงทุนเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สินของทุกคน
Grand Elite Supplies เข้าใจถึงความจำเป็นนี้ จึงพัฒนาระบบแจ้งเตือนฉุกเฉินโรงแรม Alarm Bell ที่ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการด้านความปลอดภัยของโรงแรมโดยเฉพาะ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัยและความเชื่อมั่นที่สะสมมาหลายปี
ดูสินค้าเพิ่มเติมได้ที่
https://www.grand-elite-supplies.com/product-category/fire-alarm-system/alarm-bell/
ติดต่อสอบถาม/สั่งซื้อ
Grand Elite Supplies
บริษัท แกรนด์ อีลิท ซัพพลาย จำกัด(สำนักงานใหญ่)
โทร : 061-789-1469 , 065-891-5362
: 099-453-6242 (เบอร์สั่งทำกราฟฟิก)
Line@ : grand_sale